- RAID แบบไหนเหมาะสมกับการใช้งาน

RAID ย่อมาจากคำว่า Redundant Array of Inexpensive Disks หรือ Redundant Array of Independent Disks  คือ เทคโนโลยีการนำฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวขึ้นไปมาต่อเข้าด้วยกันเพื่อให้มองเห็นเป็นอันเดียว เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล หรือเพิ่มประสิทธิภาพการอ่าน/เขียนข้อมูล หลักการโดยรวมของ RAID คือ การสำเนาข้อมูล (mirroring) การแบ่งส่วนข้อมูล (striping) และการแก้ไขความผิดพลาด (error correction)   ซึ่งแต่ละ Raid จะมีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันออกไป โดยจุดประสงค์หลัก คือ การป้องกันข้อมูลสูญหาย และ ประสิทธิภาพในการทำงานที่มากขึ้น

RAID 0
มีรูปแบบการทำงานแบบ “Striping” คือ RAID 0 จะช่วยให้การบันทึกข้อมูลได้เร็วขึ้น แต่ถ้ามีฮาร์ดดิสก์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสีย จะทำให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถใช้งานได้ ยกตัวอย่างเช่น มีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 500 GB ดังนั้นเราสามารถเก็บข้อมูลได้ 1000 Gb แต่เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกใดลูกหนึ่งเสีย ก็จะทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ใช้งานไม่ได้ทั้งสองลูกเลย

ข้อดี
RAID 0 นี้ จะสามารถทำให้ข้อมูลถูกกระจายออกมาจาก Drive ทุก Drive ในระบบอย่างพร้อมเพรียงกัน จึงสามารถเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นหลายเท่าตัว
ข้อเสีย
Raid 0 ไม่มีการทำการสำรองข้อมูล Mirroring เมื่อ Harddisk ตัวใดตัวนึงเสีย ข้อมูลจะสูญหายทั้งหมด

RAID 1
มีรูปแบบการทำงานแบบ “Mirroring” คือ RAID 1 ช่วยให้ข้อมูลมีความปลอดภัย ถ้าฮาร์ดดิสก์เครื่องใดเสีย อีกเครื่องหนึ่งก็จะทำงานแทนได้ และยังมีความสามารถในการอ่านข้อมูลดีกว่า RAID 0 ด้วยในการทำงานของ RAID 1 นี้ แต่ด้วยประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในด้านปกป้องปัญหาที่เข้ามานี้ คุณก็ต้องแลกมาด้วยเนื้อที่จัดเก็บข้อมูลที่อาจจะลดน้อยลงไป ยกตัวอย่าง มีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละคนมีความจุ 500 GB แต่เราจะสามารถเก็บข้อมูลได้แค่ 500 GB เพราะ Harddisk อีกลูกจะมีไว้สำหรับเก็บข้อมูล ทำให้เมื่อ Harddisk ลูกหลักเสียอีกตัวก็จะทำงานแทนทันที จุดเด่นของ RAID 1 คือความปลอดภัยของข้อมูล

ข้อดี
RAID 1 นี้มีความเร็วในการอ่านข้อมูล และมีระบบป้องกันข้อมูลสูญหาย มีการ Mirror ตลอดเวลา
ข้อเสีย
RAID 1 นี้เขียนข้อมูลช้าลง เนื่องจากต้องทำการเขียนข้อมูลลงบน Harddisk 2 ตัวพร้อมๆกัน

RAID 2
มีรูปแบบการทำงานใน RAID 2 จะไม่พบมีการใช้งาน ในทางธุรกิจทั่วไปนัก  โดยการทำงานของ RAID 2 คือข้อมูลทั้งหมดจะถูกตัดแบ่งในระดับ bit เพื่อเก็บลงใน Harddisk แต่ละตัว และจะมี Harddisk อย่างน้อย ตัวใช้เก็บ Hamming-code parity ที่ถูกคำนวณไว้สำหรับตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อลดเปอร์เซ็นต์ที่ข้อมูลจะเสียหายหรือสูญเสียไปถ้าหากมี Harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย ระบบก็จะสามารถใช้ค่า Hamming-code parity และข้อมูลจาก Harddisk ตัวอื่น นำมาคำนวณเพื่อสร้างข้อมูลของ Harddisk ตัวที่เสียขึ้นมาใหม่ได้

ข้อดี
RAID 2 นี้ถ้าเกิดการปรากฏว่า Harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย ระบบก็จะสามารถสร้างข้อมูลทั้งหมดใน Harddisk ตัวนั้นขึ้นมาได้ใหม่ได้จากข้อมูล ECC ที่เก็บไว้ใน Harddisk ลูกอื่น
ข้อเสีย
RAID 2 นี้การทำ ECC นี้ส่งผลให้ Harddisk ทั้งระบบต้องทำงานค่อนข้างมากทีเดียว และ RAID 2 นั้นจะเห็นได้ว่าต้องใช้ Harddisk จำนวนมากในการเก็บค่า ECC ซึ่งทำให้ค่อนข้างสิ้นเปลืองจึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน


RAID 3
RAID 3 มีรูปแบบการทำงานประยุกต์รูปแบบมาจาก RAID 2 แต่แทนที่จะตัดแบ่งข้อมูลในระดับ bit เหมือน RAID 2 ก็จะตัดเก็บข้อมูลในระดับ Byte แทนและการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล จะใช้ parity แทนที่จะเป็น ECC ทำให้ RAID 3 มีความสามารถในการอ่านและเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีการต่อ Harddisk แต่ละตัวแบบ Stripe และใช้ Harddisk ที่เก็บ parity เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น Harddisk 3 ลูก แต่ละลูกมีความจุ 200 GB ดังนั้น server เราจะสามารถจุข้อมูลได้ 400 Gb อีก 200 Gb เก็บไว้สำรองข้อมูลในกรณีที่ลูกแรกหรือ ลูกที่สองเสีย Harddisk ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทนลูกที่เสียทันที ดังนั้น RAID 3 เหมาะสำหรับใช้ในงานที่มีการส่งข้อมูลจำนวนมากๆ

ข้อดี
RAID 3 นี้จะช่วยให้ข้อมูลที่เกิดปัญหา หรือเกิดสูญหายไป จะยังสามารถ กู้ข้อมูลกลับ โดยใช้ค่าข้อมูล ที่เก็บเอาไว้ Drive พิเศษเป็นค่าอ้างอิง
ข้อเสีย
RAID 3 นี้ Harddisk  ทำงานหนักเกินไป มีโอกาสเสียหายได้ง่าย


RAID 4
RAID 4 มีรูปแบบการทำงานประยุกต์รูปแบบมาจาก RAID 3 ทุกประการ ยกเว้นเรื่องการตัดแบ่งข้อมูลที่ทำในระดับ block แทนที่จะเป็น bit หรือ byte ซึ่งทำให้การอ่านข้อมูลแบบ Random ทำใด้รวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาคอขวดเหมือน RAID 3 ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเหมือนเดิม ที่ทำให้ RAID ระดับนี้ ไม่ได้รับความนิยมมากนัก


RAID 5
RAID 5 นั้นจะทำการแก้ปัญหาการติดขัดในการเขียนข้อมูล ที่เกิดขึ้นใน RAID 4 ด้วยการกระจาย แถบของค่าข้อมูล (parity) ไปตาม Drive ย่อย ๆ ต่าง ๆ ซึ่งด้วยวิธีนี้ จะช่วยบรรเทา การทำงานที่มุ่งไปที่ Drive ใด Drive หนึ่งเพียงตัวเดียว จึงช่วยเพิ่มความสามารถ ของระบบโดยรวม ได้มากยิ่งขึ้น โดยวิธี ที่ RAID ระดับนี้ช่วยลดปัญหา การติดขัดในการเขียนข้อมูล parity นั้น เป็นวิธีพื้นฐาน โดยแทนที่ จะยอมให้ เพียง Drive ตัวใดตัวหนึ่ง ทำการสันนิษฐาน ความเสี่ยงของปัญหาืที่อาจจะเกิดขึ้น ก็จัดการให้ทุก ๆ Drive ที่อยู่ภายในระบบ RAID ทำการสันนิษฐาน เพื่อทำการจัดเก็บค่าของข้อมูลกระจายไปตามแต่ละ Drive และด้วยวิธีง่าย ๆ นี้เอง Raid 5 เป็นที่นิยมในการใช้งานในระบบใหญ่ๆ เป็นอย่างมาก และยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีความรวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่ง Raid นี้ได้นำข้อดีของ Raid อื่นๆมารวมกันทั้งหมดคุณสมบัติอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจของ RAID 5 คือ เทคโนโลยี Hot Swap สามารถทำการเปลี่ยน Harddisk ในกรณีที่เกิดปัญหาได้ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เหมาะสำหรับงาน Server ต่างๆ ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง

ข้อดี
มีความเร็วในการอ่านสูง เนื่องจากใช้ Harddisk ถึง 3 ตัวในการทำงาน
ข้อเสีย
การอ่านข้อมูลได้ช้ากว่าการเชื่อมต่อรวมกันแบบ Raid 0 แต่เร็วกว่า Harddisk เพียงตัวเดียว รวมไปถึงขนาดรวมของ Raid 5 จะได้เท่ากับ Harddisk 2 ตัวเท่านั้น

RAID 6
RAID 6 อาศัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 5 เกือบทุกประการ แต่มีการเพิ่ม parity block เข้าไปอีก 1 ชุด เพื่อยอมให้เราทำการ Hot Swap ได้พร้อมกัน 2 ตัว RAID 5 ทำการ Hot Swap ได้ทีละ 1 ตัวเท่านั้น หาก Harddisk มีปัญหาพร้อมกัน 2 ตัว จะทำให้เสียทั้งระบบ) เรียกว่าเป็นการเพิ่ม Fault Tolerance ให้กับระบบ โดย RAID 6 เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยและเสถียรภาพของข้อมูลที่สูงมากๆ


RAID 10
RAID 10 หรือ RAID 0+1 เป็นการผสมผสานระหว่าง RAID 0 และ RAID 1 เข้าด้วยกัน ทำให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และมีการทำ Mirror ข้อมูล (การ Backup ข้อมูล) คือการนำ  Harddisk 4 ตัวขึ้นไป มาทำงานร่วมกันทั้งแบบ Stripe และ Mirror โดยทำการสำรองข้อมูลในอัตราส่วน 1:1 เพื่อให้เกิดความทนทานระดับสูงยิ่งขึ้น จะพุ่งเป้าไปที่ความสามารถในด้าน I/O ที่มากขึ้น และการปกป้องความเสียหายของข้อมูล


RAID 53
RAID 53 เป็นการรวมกันของ RAID ระดับ 0 และ 3 เพื่อความเร็วในการเขียนและอ่านข้อมูลที่มากขึ้น แต่ยังมีตัวสำรองในการป้องกันระบบล่มทั้งระบบ ในเวลาที่มี Harddisk เสีย


ไม่มีความคิดเห็น: