- การสูญเสียที่เกิดขึ้นในเส้นใยแก้วนำแสง

การสูญเสียที่เกิดขึ้นในเส้นใยแก้วนำแสง หรือที่เรียกว่า Insertion Loss (IL) คือการที่พลังงานของแสงถูกลดทอนจากการที่แสงเดินทางผ่านตัวกลางต่างๆ เช่น แก้ว อากาศ หรือผ่านอุปกรณ์ ชิ้นส่วนทาง optics รวมถึงการต่อเชื่อมของสายเอง

ค่า Loss ของแสงจะวัดในหน่วยของ dB หรือ dBm

IL = -10log(Pout/Pin) ... หน่วย dB

ถ้าเป็น dBm จะเทียบกับ 1mW

สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดความสูญเสีย ได้แก่

1) คุณภาพของสายใยแก้วเอง ถ้าเป็น SMF จะอยู่ที่ประมาณ 0.1 dB/km แต่ถ้าเป็น MMF หรือ Multi-mode fiber ก็จะมี loss เยอะกว่า


2) การต่อเชื่อมสาย ถ้าเป็นการเชื่อมหลอม fusion splicing จะเกิด loss ประมาณ 0.02-0.05 dB ต่อรอย ถ้าเป็นแบบ physical contact เช่นพวก connector จะประมาณ 0.1-0.15 dB ต่อจุด

3) ความยาวคลื่นแสงที่ส่งเข้าในเส้นใยแก้ว โดยทั่วไป สำหรับ SMF จะใช้อยู่สองย่าน คือ 1310 nm และ 1550 nm (ย่าน C และ L band) ถ้าใช้ความยาวคลื่นแสงย่านอื่นส่ง จะเกิด loss สูง อันนี้เป็นคุณสมบัติของตัวแก้วเอง (glass absorbtion)

4) การวางสายหรือจัดสาย (fiber routing) ถ้าวางสายหรือขดสายไม่ดี ก็จะเกิด IL สูงเนื่องจากการบิด (bending loss) หรือการกดทับ ซึ่งการบิดหรือการกดนั้น จะทำให้เกิดความต่างของ loss ในแต่ละ polarization (Polarization Dependent Loss) อีกด้วย

- แนะนำ Window Server 2016 มีอะไรใหม่บ้าง

ใหม่ กับ Windows Server 2016 มาพร้อมฟิเจอร์ใหม่ๆ และการใช้งานที่เพิ่มประสิทธิภาพให้ดีได้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม 
สำหรับฟิเจอร์การใช้งานพื้นฐานโดยทั่วไป ทุกคนก็คงใช้งานกันได้บ้างอยู่แล้ว แต่วันนี้จะมาแนะนำอะไรที่ใหม่ๆ หรือน่าสนใจเล็กน้อยขึ้นมาหน่อยละกัน เริ่มจาก
Windows Server 2016 มีด้วยกัน 3 Edition นะ นั่นคือ
Windows Server 2016 Datacenter เหมาะสำหรับการใช้งาน VM และ Cloud solution ซึ่งเป็น Edition ที่มีความสามารถสูงสุดในเวอร์ชั่นนี้
Windows Server 2016 Standard เหมาะสำหรับการติดตั้งบน Physical Server หรือทำ VM ในจำนวนที่จำกัด
Windows Server 2016 Essentials เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีการใช้งานไม่เกิน 25 users หรือ 50 devices
เรามาดูกันดีกว่าว่า อะไรบ้างที่น่าสนใจ (สำหรับผม)

Nano Server

 โดยในเวอร์ชั่นเหล่านี้ มีโหมดใหม่เพิ่มขึ้นมา 1 mode นั่นคือ Nano Server โดยโหมดนี้จะตัดสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต่อระบบออกไปอย่างมากที่สุด มากกว่าแบบ Server core เสียอีก

ซึ่งคุณสามารถจัดการได้ผ่านทางหน้า Server ในเครื่องมือที่จำกัดมากๆ ดูหน้าตาเอาแล้วคงจะรู้ได้เลยว่า ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งอ่านแล้วจิ้มแป้นคีย์บอร์ดเท่านั้น แต่คุณยังสามารถใช้เครื่องอื่นๆ ที่มี Server Manager UI ทำการ Remote management  เข้ามายัง Nano Server ได้เช่นเดิม หรือใช้ Powershell remote มาก็ได้เช่นกัน โดยแน่นอนว่า ในโหมดนี้แม้แต่ Driver ก็ไม่ถูกโหลดมาให้ จึงทำให้มันใช้ทรัพยากร Server ได้น้อยและประหยัดมากที่สุด

Failover Clustering improvements

ในเรื่องนี้มีที่ผมสนใจอยู่อย่างคือ Cloud withness using Microsoft Azure

รวบรัดสั้นๆ เลยคือ เราสามารถใช้ Quorum ซึ่งเป็นส่วนประกอบของการทำ Failover Cluster ได้จาก Azure Storage นั่นเอง โดยไม่จำเป็นต้องถูก Present disk มาจาก SAN หรือ Share folder แต่แน่นอนว่า เมื่อใช้บริการของ Cloud เราก็ต้องเสียเงิน แต่ไม่ได้แพงอย่างที่คิด เพราะ Storage สำหรับเก็บ Quorum นี้ กินพื้นที่น้อยมาก

Hyper-V improvements

ในเรื่องของ VM บน Hyper-V นี้ ผมขอเอาเรื่อง Hot add/remove มาเสนอละกัน

ซึ่งปกติแล้ว หากใครดูแล Hyper-V อยู่ก็คงพอทราบว่า ถ้าเราจะปรับเปลี่ยน Memory หรือ Network Adapter นั้น เราจะต้องทำการ Shutdown VM เสียก่อน แต่ตอนนี้ไม่ละ เพราะคุณสามารถทำได้ทันทีขณะที่ VM ยังคงทำงานอยู่ และมีผลทันทีหลังการเปลี่ยนแปลง (ซึ่งควรจะทำมาตั้งนานสมัยไหนละ)

MultiPoint Services

ชื่อนี้บางคนอาจจะไม่คุ้นหู แต่เอาเป็นว่ามันมีมาสักพักแล้วแหล่ะ

ดูหน้าตาแล้วคุ้นไหมเอ่ย นี่คือหน้าจอของ MultiPoint ซึ่งวิธีการทำงานของมันคือ สามารถที่จะ Share Desktop เพื่อให้เครื่องอื่นๆ เข้ามารวมใช้งานได้ในฟิเจอร์ที่ถูกจำกัด พร้อมๆ กันหลายเครื่อง โดยทั้งหมดใช้ทรัพยากรเครื่อง MultiPoint Server เพียงเครื่องเดียว หลับตาแล้วนึกถึง Thin Client แบบนั้นแหล่ะ โดยที่ MultiPoint นี้มี 2 Version คือ Standard ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อได้สูงสุด 10 Connection แต่ไม่รองรับการ Join Domain และ VM ทั้งในรูปแบบ Host หรือ Guest และอีกเวอร์ชั่นคือ Premium รองรับการเชื่อมต่อได้สูงสุด 20 Connection และ Join Domain ได้ รวมถึงใช้งานในรูปแบบ VM ได้ด้วย
ซึ่ง MultiPoint Services นี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานแบบ Study class เพราะเราสามารถที่จะสอนการใช้งานนั่นนี่นู้น และผู้สอนก็สามารถใช้ MultiPoint Dashboard ควบคุมหน้าจอผู้เรียนได้ มองเห็นว่านักเรียนกำลังทำอะไรอยู่ หรือกระทั่ง Remote เข้าไปเพื่อช่วยเหลือก็ได้

Storage Replica

นี่สิ ใหม่สดซิงๆ ของจริงบน Windows Server 2016 เลย

Storage Replica คือการทำให้ Disk สามารถ Synchronize กันได้ระหว่างเครื่อง Server 2 เครื่อง พูดง่ายๆ ก็คือ คุณมีเครื่อง Serve 2 เครื่อง แล้วก็มี Disk ของแต่ละเครื่องเองเลย ไม่ต้องใช้ SAN ไม่ต้องใช้ Share disk ก็สามารถทำได้ Disk 2 Volume นี้ ซึ่งอยู่ต่างเครื่องกัน สามารถมีสำเนาของกันและกันได้ โดยสามารถทำได้ 2 mode คือ Synchronous replication และ Asynchronous replication ซึ่งในปัจจุบันของ Storage Replica นี้ ยังไม่มีหน้า UI ให้จัดการ และมันก็ไม่ทำ Automatic failover ให้ด้วย คุณจะต้องใช้คำสั่ง PowerShell ในการจัดการเองทั้งหมด

Shielded VMs

ฟิเจอร์นี้ถูกนำเข้ามาเพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ดูแล Hyper-V โดยเฉพาะ ซึ่งลองนึกดูว่า ปกติแล้ว ถ้าเราเองเป็นผู้ที่ดูแล VM ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าเราสามารถเข้าถึงได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น VM, Disk, Network แล้วคำถามคือ ทำแบบนี้ VM จะมีความปลอดภัยหรือไม่ ในเมื่อก็ยังมีผู้ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยสิทธิ์สูงสุด (ซึ่งจำเป็นต้องมี) ในทุกๆ ทรัพยากรได้อยู่ดี
ดั้งนั้น Shielded VMs จึงเข้ามาปกป้องในส่วนของ VM ตรงจุดนี้ ซึ่งจะต้องทำการสร้าง Guest ด้วย VM Generation 2 จึงจะสามารถใช้งานได้ โดยมี Service ใหม่ที่คอยควบคุมอยู่ชื่อว่า Host Guardian Service

โดยประโยชน์ของมันคือ การเข้ารหัสส่วนประกอบที่สำคัญต่างๆ ของ VM เช่น Disk drive, live migration traffic, saved state checkpoint, Hyper-V replica file ซึ่งปกป้องไม่ให้ผู้ที่มีสิทธิ์สูงสุดอย่าง Administrator เข้าถึงได้ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงสิทธิ์ดังกล่าวมาขโมยข้อมูลของ VM ไปได้ง่ายๆ กว่าปัจจุบันนั่นเอง

- RAID แบบไหนเหมาะสมกับการใช้งาน

RAID ย่อมาจากคำว่า Redundant Array of Inexpensive Disks หรือ Redundant Array of Independent Disks  คือ เทคโนโลยีการนำฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวขึ้นไปมาต่อเข้าด้วยกันเพื่อให้มองเห็นเป็นอันเดียว เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล หรือเพิ่มประสิทธิภาพการอ่าน/เขียนข้อมูล หลักการโดยรวมของ RAID คือ การสำเนาข้อมูล (mirroring) การแบ่งส่วนข้อมูล (striping) และการแก้ไขความผิดพลาด (error correction)   ซึ่งแต่ละ Raid จะมีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันออกไป โดยจุดประสงค์หลัก คือ การป้องกันข้อมูลสูญหาย และ ประสิทธิภาพในการทำงานที่มากขึ้น

RAID 0
มีรูปแบบการทำงานแบบ “Striping” คือ RAID 0 จะช่วยให้การบันทึกข้อมูลได้เร็วขึ้น แต่ถ้ามีฮาร์ดดิสก์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสีย จะทำให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถใช้งานได้ ยกตัวอย่างเช่น มีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละลูกมีความจุ 500 GB ดังนั้นเราสามารถเก็บข้อมูลได้ 1000 Gb แต่เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกใดลูกหนึ่งเสีย ก็จะทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ใช้งานไม่ได้ทั้งสองลูกเลย

ข้อดี
RAID 0 นี้ จะสามารถทำให้ข้อมูลถูกกระจายออกมาจาก Drive ทุก Drive ในระบบอย่างพร้อมเพรียงกัน จึงสามารถเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นหลายเท่าตัว
ข้อเสีย
Raid 0 ไม่มีการทำการสำรองข้อมูล Mirroring เมื่อ Harddisk ตัวใดตัวนึงเสีย ข้อมูลจะสูญหายทั้งหมด

RAID 1
มีรูปแบบการทำงานแบบ “Mirroring” คือ RAID 1 ช่วยให้ข้อมูลมีความปลอดภัย ถ้าฮาร์ดดิสก์เครื่องใดเสีย อีกเครื่องหนึ่งก็จะทำงานแทนได้ และยังมีความสามารถในการอ่านข้อมูลดีกว่า RAID 0 ด้วยในการทำงานของ RAID 1 นี้ แต่ด้วยประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในด้านปกป้องปัญหาที่เข้ามานี้ คุณก็ต้องแลกมาด้วยเนื้อที่จัดเก็บข้อมูลที่อาจจะลดน้อยลงไป ยกตัวอย่าง มีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกแต่ละคนมีความจุ 500 GB แต่เราจะสามารถเก็บข้อมูลได้แค่ 500 GB เพราะ Harddisk อีกลูกจะมีไว้สำหรับเก็บข้อมูล ทำให้เมื่อ Harddisk ลูกหลักเสียอีกตัวก็จะทำงานแทนทันที จุดเด่นของ RAID 1 คือความปลอดภัยของข้อมูล

ข้อดี
RAID 1 นี้มีความเร็วในการอ่านข้อมูล และมีระบบป้องกันข้อมูลสูญหาย มีการ Mirror ตลอดเวลา
ข้อเสีย
RAID 1 นี้เขียนข้อมูลช้าลง เนื่องจากต้องทำการเขียนข้อมูลลงบน Harddisk 2 ตัวพร้อมๆกัน

RAID 2
มีรูปแบบการทำงานใน RAID 2 จะไม่พบมีการใช้งาน ในทางธุรกิจทั่วไปนัก  โดยการทำงานของ RAID 2 คือข้อมูลทั้งหมดจะถูกตัดแบ่งในระดับ bit เพื่อเก็บลงใน Harddisk แต่ละตัว และจะมี Harddisk อย่างน้อย ตัวใช้เก็บ Hamming-code parity ที่ถูกคำนวณไว้สำหรับตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อลดเปอร์เซ็นต์ที่ข้อมูลจะเสียหายหรือสูญเสียไปถ้าหากมี Harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย ระบบก็จะสามารถใช้ค่า Hamming-code parity และข้อมูลจาก Harddisk ตัวอื่น นำมาคำนวณเพื่อสร้างข้อมูลของ Harddisk ตัวที่เสียขึ้นมาใหม่ได้

ข้อดี
RAID 2 นี้ถ้าเกิดการปรากฏว่า Harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย ระบบก็จะสามารถสร้างข้อมูลทั้งหมดใน Harddisk ตัวนั้นขึ้นมาได้ใหม่ได้จากข้อมูล ECC ที่เก็บไว้ใน Harddisk ลูกอื่น
ข้อเสีย
RAID 2 นี้การทำ ECC นี้ส่งผลให้ Harddisk ทั้งระบบต้องทำงานค่อนข้างมากทีเดียว และ RAID 2 นั้นจะเห็นได้ว่าต้องใช้ Harddisk จำนวนมากในการเก็บค่า ECC ซึ่งทำให้ค่อนข้างสิ้นเปลืองจึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน


RAID 3
RAID 3 มีรูปแบบการทำงานประยุกต์รูปแบบมาจาก RAID 2 แต่แทนที่จะตัดแบ่งข้อมูลในระดับ bit เหมือน RAID 2 ก็จะตัดเก็บข้อมูลในระดับ Byte แทนและการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล จะใช้ parity แทนที่จะเป็น ECC ทำให้ RAID 3 มีความสามารถในการอ่านและเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีการต่อ Harddisk แต่ละตัวแบบ Stripe และใช้ Harddisk ที่เก็บ parity เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น Harddisk 3 ลูก แต่ละลูกมีความจุ 200 GB ดังนั้น server เราจะสามารถจุข้อมูลได้ 400 Gb อีก 200 Gb เก็บไว้สำรองข้อมูลในกรณีที่ลูกแรกหรือ ลูกที่สองเสีย Harddisk ลูกที่ 3 จะทำงานให้แทนลูกที่เสียทันที ดังนั้น RAID 3 เหมาะสำหรับใช้ในงานที่มีการส่งข้อมูลจำนวนมากๆ

ข้อดี
RAID 3 นี้จะช่วยให้ข้อมูลที่เกิดปัญหา หรือเกิดสูญหายไป จะยังสามารถ กู้ข้อมูลกลับ โดยใช้ค่าข้อมูล ที่เก็บเอาไว้ Drive พิเศษเป็นค่าอ้างอิง
ข้อเสีย
RAID 3 นี้ Harddisk  ทำงานหนักเกินไป มีโอกาสเสียหายได้ง่าย


RAID 4
RAID 4 มีรูปแบบการทำงานประยุกต์รูปแบบมาจาก RAID 3 ทุกประการ ยกเว้นเรื่องการตัดแบ่งข้อมูลที่ทำในระดับ block แทนที่จะเป็น bit หรือ byte ซึ่งทำให้การอ่านข้อมูลแบบ Random ทำใด้รวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาคอขวดเหมือน RAID 3 ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเหมือนเดิม ที่ทำให้ RAID ระดับนี้ ไม่ได้รับความนิยมมากนัก


RAID 5
RAID 5 นั้นจะทำการแก้ปัญหาการติดขัดในการเขียนข้อมูล ที่เกิดขึ้นใน RAID 4 ด้วยการกระจาย แถบของค่าข้อมูล (parity) ไปตาม Drive ย่อย ๆ ต่าง ๆ ซึ่งด้วยวิธีนี้ จะช่วยบรรเทา การทำงานที่มุ่งไปที่ Drive ใด Drive หนึ่งเพียงตัวเดียว จึงช่วยเพิ่มความสามารถ ของระบบโดยรวม ได้มากยิ่งขึ้น โดยวิธี ที่ RAID ระดับนี้ช่วยลดปัญหา การติดขัดในการเขียนข้อมูล parity นั้น เป็นวิธีพื้นฐาน โดยแทนที่ จะยอมให้ เพียง Drive ตัวใดตัวหนึ่ง ทำการสันนิษฐาน ความเสี่ยงของปัญหาืที่อาจจะเกิดขึ้น ก็จัดการให้ทุก ๆ Drive ที่อยู่ภายในระบบ RAID ทำการสันนิษฐาน เพื่อทำการจัดเก็บค่าของข้อมูลกระจายไปตามแต่ละ Drive และด้วยวิธีง่าย ๆ นี้เอง Raid 5 เป็นที่นิยมในการใช้งานในระบบใหญ่ๆ เป็นอย่างมาก และยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีความรวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่ง Raid นี้ได้นำข้อดีของ Raid อื่นๆมารวมกันทั้งหมดคุณสมบัติอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจของ RAID 5 คือ เทคโนโลยี Hot Swap สามารถทำการเปลี่ยน Harddisk ในกรณีที่เกิดปัญหาได้ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เหมาะสำหรับงาน Server ต่างๆ ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง

ข้อดี
มีความเร็วในการอ่านสูง เนื่องจากใช้ Harddisk ถึง 3 ตัวในการทำงาน
ข้อเสีย
การอ่านข้อมูลได้ช้ากว่าการเชื่อมต่อรวมกันแบบ Raid 0 แต่เร็วกว่า Harddisk เพียงตัวเดียว รวมไปถึงขนาดรวมของ Raid 5 จะได้เท่ากับ Harddisk 2 ตัวเท่านั้น

RAID 6
RAID 6 อาศัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 5 เกือบทุกประการ แต่มีการเพิ่ม parity block เข้าไปอีก 1 ชุด เพื่อยอมให้เราทำการ Hot Swap ได้พร้อมกัน 2 ตัว RAID 5 ทำการ Hot Swap ได้ทีละ 1 ตัวเท่านั้น หาก Harddisk มีปัญหาพร้อมกัน 2 ตัว จะทำให้เสียทั้งระบบ) เรียกว่าเป็นการเพิ่ม Fault Tolerance ให้กับระบบ โดย RAID 6 เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยและเสถียรภาพของข้อมูลที่สูงมากๆ


RAID 10
RAID 10 หรือ RAID 0+1 เป็นการผสมผสานระหว่าง RAID 0 และ RAID 1 เข้าด้วยกัน ทำให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และมีการทำ Mirror ข้อมูล (การ Backup ข้อมูล) คือการนำ  Harddisk 4 ตัวขึ้นไป มาทำงานร่วมกันทั้งแบบ Stripe และ Mirror โดยทำการสำรองข้อมูลในอัตราส่วน 1:1 เพื่อให้เกิดความทนทานระดับสูงยิ่งขึ้น จะพุ่งเป้าไปที่ความสามารถในด้าน I/O ที่มากขึ้น และการปกป้องความเสียหายของข้อมูล


RAID 53
RAID 53 เป็นการรวมกันของ RAID ระดับ 0 และ 3 เพื่อความเร็วในการเขียนและอ่านข้อมูลที่มากขึ้น แต่ยังมีตัวสำรองในการป้องกันระบบล่มทั้งระบบ ในเวลาที่มี Harddisk เสีย


- เคล็ดลับการติดตั้งกล้องวงจรปิด

1. กล้องวงจรปิดเพียงตัวเดียว ไม่สามารถจับภาพได้ทุกรายละเอียด
หลายๆ คงจะนึกว่ากล้องวงจรปิดเพียงตัวเดียว จะใช้สามารถจับทุกรายละเอียดภาพได้ทั้งหมด ซึ่งจริงๆ แล้ว ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้ ก็เหมือนภาพที่เราดูจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อขยายภาพถึงระดับหนึ่งภาพจะแตก ไม่ได้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ดังนั้น การติดตั้งกล้องวงจรปิด เราควรจะออกแบบให้มีกล้องวงจรปิด 1 ตัว ที่เจาะจงบันทึกเฉพาะภาพรายละเอียดที่ต้องการ ส่วนกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ก็บันทึกเหตุการณ์โดยรวม ตัวอย่างเช่น ร้านขายของชำ จะติดตั้งกล้องวงจรปิด 1 ตัว ไว้ตรงทางเข้าออกประตู ซึ่งเมื่อมีคนผ่านมา เราจะได้รายละเอียดเป็นรูปร่าง หน้าตา ใส่เสื้อสีอะไร มีตำหนิตรงไหนบ้าง ส่วนกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ภายในร้านจะบันทึกเหตุการณ์โดยรวม ซึ่งถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้น เราก็สามารถเอาภาพจากกล้องที่ติดหน้าร้าน เพื่อยืนยันลักษณะของผู้ต้องสงสัยได้นั่นเอง
2. กล้องวงจรปิด ไม่ควรอยู่โดดเดี่ยว
หลายๆ ครั้ง เราอาจจะนึกไม่ถึงว่า กล้องวงจรปิดที่เราติดตั้งไว้จะมีคนขโมย โดนตัดสายไฟ หรือสายสัญญาณกล้องวงจรปิดก่อนจะกระทำความผิด ทั้งนี้เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากตัวผู้กระทำจะไปทางด้านหลังกล้อง และดำเนินการถอดสาย ตัดสายไฟ หรือตัดสายสัญญาณที่มาจากกล้องวงจรปิดก่อน ซึ่งถ้าเราติดตั้งกล้องเพียงตัวเดียว เราก็จะไม่ได้หลักฐานอะไรเลย จะเห็นเพียงแต่ภาพที่อยู่ๆ ก็ดำมืด หายไป วิธีการแก้ไขในกรณีนี้ เราควรจะติดตั้งกล้อง ให้กล้องอีกตัว สามารถมองเห็นกล้องอีกตัวได้นั่นเอง
3. กล้องวงจรปิด ไม่ควรยึดกับโลหะ
ในบางครั้งเรามีความจำเป็นต้องยึดกล้องวงจรปิด เข้ากับวัสดุที่เป็นโลหะ เช่น เสาเหล็ก โครงเหล็ก เป็นต้น ซึ่งบางครั้งเราจะพบว่า อยู่กล้องวงจรปิดที่เราติดไว้เสียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้เป็นเพราะว่ามีไฟรั่ว หรือ Ground loop เกิดขึ้นกับตัวกล้องวงจรปิดนั่นเอง ซึ่งในบางกรณีบอร์ดของกล้องวงจรปิด จะไหม้ทันที และจะอยู่นอกเหนือเงื่อนไขการรับประกัน วิธีการป้องกันก็ คือ เราควรจะหาฉนวน เช่น กล่องพลาสติก แป้นไม้ ยึดเข้ากับวัสดุที่เป็นโลหะก่อน แล้วเราค่อยเอากล้องวงจรปิด ยึดกับฉนวนนั้นแทน จะแก้ปัญหานี้ได้เกือบ 100% ทีเดียว
4. การบำรุงรักษา และการป้องกัน
เมื่อเราติดตั้งกล้องวงจรปิดไปนานๆ อาจจะมีกล้องบางตัวที่เกิดภาพเบลอ หรือเหมือนมีฝ่ามาบดบังที่กล้อง เราสามารถตรวจเช็คเบื้องต้นได้ โดยการไปดูที่หน้ากระจกที่ตัวกล้อง สามารถถอดออกมาเช็ดได้ครับ กล้องเราจะได้กลับมาดูใหม่อีกครั้ง หรือถ้ายังไม่หาย อาจจะโทรขอคำปรึกษากับทางผู้จำหน่ายโดยตรง เครื่องบันทึกภาพ DVR อาจจะมีการปิดระบบ พักบ้างในช่วงเวลาที่เราคิดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรนะครับ เป็นช่วงที่เราอยู่บ้าน ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง โดยการสั่งปิดเครื่องจากระบบ แล้วเปิดอีกครั้งครับ แต่โดยทั่วไปแล้วระบบกล้องวงจรปิด ออกแบบมาให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องกังวลครับ หากมีฝนฟ้าคะนอง แนะนำให้ปิดเครื่องและถอดปลั๊กไฟออกก่อนนะครับ เพื่อป้องกันฟ้าลง อาจทำให้ระบบกล้องวงจรปิด รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเสียหายได้ครับ กันไว้ดีว่าแก้ทีหลังนะครับ
แนะนำเพิ่มเติมครับ หาเครื่องสำรองไฟสำหรับกล้องวงจรปิดมาติดเพิ่มครับ เพื่อป้องกันไฟตก ไฟกระชาก ช่วยยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ของเราครับ

- 7คำถามเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดที่ทุกคนอยากรู้

7 คำถามเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดที่ทุกคนอยากรู้
วันนี้มีคำถามของผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดมาฝาก โดยเฉพาะผู้ที่สนใจจะติดตั้งกล้องวงจรปิดคำถามที่ว่าเป็นคำถามที่ให้ความรู้น่าสนใจ ก็เลยหยิบยกมานำเสนอให้หลายๆ ที่เสริมความรู้ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเคยทราบหรือรู้มาบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกล้องวงจรปิด ด้วย 7 คำตอบที่เป็นประโยชน์
1.             กล้องวงจรปิด CCTV มีแบบใดบ้าง ?
ปัจจุบันนี้ กล้องวงจรปิด cctv มีหลายชนิดด้วยกัน เช่น กล้องวงจรปิดมาตราฐาน กล้องโดมกล้องอินฟาเรด กล้องวงจรปิดแบบซูมได้ กล้องวงจรปิดแบบแอบซ่อน ฯลฯ
2.             อยากติดตั้งกล้องวงจรปิด จะเลือกใช้กล้องรุ่นไหนดี ?
การเลือกซื้อกล้องวงจรปิด ควรจะพิจารณาจากหน้างาน ถ้าคุณต้องการติดตั้งเพื่อดูทรัพย์สินมีค่าเช่น ตู้เซฟ โต๊ะเงิน ประตูทางเข้าออก โรงจอดรถ ฯลฯ ก็ต้องเลือกใช้ กล้องวงจรปิดมตราฐาน แต่ถ้าต้องติดตั้งใน ตำแหน่ง หรือ สถานที่ที่ค่อยข้างมืด เช่น ในห้องเก็บของ ริมกำแพง หรือ หลังอาคารที่ไม่มีแสงไฟ อันนี้ก็ต้องเลือกใช้ กล้องวงจรปิดอินฟาเรด แทนครับ ขอแนะนำว่า ก่อนจะซื้อหรือ ติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ทุกครั้งควรจะเรียก เจ้าหน้าที่ของบริษัทไปดูหน้างาน เพื่อสำรวจหน้างาน และ เลือกตัวกล้องวงจรปิดได้ตรง กับวัตถุประสงค์และ สภาพหน้างานของท่านสนใจให้ทางบริษัทไปสำรวจหน้างาน เพื่อออกแบบ และติดตั้งกล้องวงจรปิด
3.             กล้องวงจรปิด ที่ใช้เลนส์ CCD กับเลนส์ CMOS อันไหนดีกว่ากัน ?
กล้องวงจรปิดที่ใช้ เลนส์ CCD จะมีคุณภาพดีกว่า กล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CMOS กล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CMOS ส่วนใหญ่จะมีคุณภาพต่ำ อายุการใช้งานจะน้อย ใช้งานได้ไม่เกิน 1-2 ปี เลนส์จะเสื่อมคุณภาพ ส่วนใหญ่กล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CMOS จะราคาถูก ราคาไม่เกิน 3000.- บาท ส่วนกล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CCD จะมีคุณภาพของภาพดีกว่า แต่ราคาจะสูงกว่า อายุการใช้งานกล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CCD จะอยู่ที่ 7 ปีขึ้นไป
4.             กล้องวงจรปิดติดตั้งยากไหม ควรซื้อกล้องวงจรปิดไปติดตั้งเองดี หรือไม่ ?
การติดตั้งกล้องวงจรปิด ไม่ควรซื้อไปติดตั้งเอง ควรจะให้เจ้าหน้า หรือ ช่างผู้ชำนาญเฉพาะทางเป็นเป็นคนติดตั้งให้จะดีกว่า การซื้อกล้องวงจรปิดไปติดตั้งเอง ถ้าขาดความรู้เทคนิคในการติดตั้ง อาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ หรือ เกิดความผิดพลาดต่างๆ ในการติดตั้งได้ การแก้ไขปัญหาของอุปกรณ์กล้องวงจรปิดก็ทำได้ยาก เพราะขาดความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง อยากจะแนะนำว่าให้ใช้บริการกับบริษัทที่จำหน่ายการติดตั้งกล้องวงจรปิด โดยเฉพาะจะดีกว่า เพราะบริษัทที่รับติดตั้งมีประสบการณ์ในการติดตั้งกล้องวงจรปิด ถ้าคุณคิดว่าแค่ ช่างไฟ ช่าง UBC หรือ ช่างเดินสายโทรศัพท์ก็สามารถติดตั้งได้ คุณอาจเข้าใจผิดแล้ว!!! เพราะถึงแม้บุคคลเหล่านั้นจะติดตั้งได้จริง ก็อาจติดตั้งแบบผิดวิธี ผู้ที่ขาดประสบการณ์ในการติดตั้งกล้องวงจรปิดมา ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดควรให้ บริษัทจำหน่าย ติดตั้งกล้องวงจรปิด เป็นคนติดตั้งให้ดีกว่า
นอกจากนี้บริษัทที่ให้บริการยังมีบริการหลังการขาย เซอร์วิสฟรี ถึงสถานที่ตลอด 1 ปีเต็มอีกด้วย ขอแนะนำว่า ถ้าซื้อ กล้องวงจรปิดจากบริษัทไหนมา ก็ควรจะให้บริษัทนั้นเป็นคนติดตั้งให้จะดีที่สุด จะได้บริการได้อย่างเต็มที่ทั้งตัวอุปกรณ์ อะไหล่ต่างๆ
5.             ระบบ 380 เส้น 420 เส้น หรือ 380 TV Line หมายถึงอะไร ?
คำว่า 380 เส้น หรือ 380 TV Line นั้นก็คือค่าความคมชัดของตัวกล้องวงจรปิด ยิ่งมีค่ายิ่งมากภาพก็จะยิ่งชัดขึ้นละเอียดขึ้น เช่น กล้องวงจรปิด ความคมชัด 480 เส้น จะให้ภาพที่ชัดกว่า กล้องวงจรปิด ความคมชัด 420 เส้น เป็นต้น กล้องวงจรปิดที่มีความคมชัดสูงๆ ราคาก็จะสูงตามไปด้วย
6.             การกินแสงสว่าง 1 LUX , 0.8 LUX , 0.2 LUX หมายถึงอะไร ?
คำว่ากินแสงสว่าง 1 LUX คือค่าการมองเห็นภาพในตอนกลางคืน หรือ ในที่มีสว่างน้อยของกล้องวงจรปิด ว่าต้องมีแสงสว่างอย่างน้อย 1 LUX ถึงจะมองเห็นภาพได้ดี ยิ่งค่า LUX ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งดีเช่น 0.2 LUX , 0.1 LUX จะให้ที่มีแสงไฟสลัวๆ หรือ ในที่ค่อนข้างมืดได้ดีมาก ส่วนกล้องวงจรปิดแบบอินฟาเรด สามารถมองเห็นภาพในที่มืดสนิทได้ ( 0 LUX ) แต่ภาพจะออกมาเป็นภาพขาว-ดำ
7.             สำหรับจุดสำคัญของบ้านควรติดกล้องวงจรปิดแบบใด ?
การติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ที่ตัวกล้องควรใช้เลนส์คุณภาพสูงและสามารถหมุนได้เป็นวงกลมอิสระรอบทิศ มีอินฟาเรด ถ่ายกลางคืนได้ แบบเดียวกับที่ยุโรปใช้อยู่ในค่ายทหารและจุดสำคัญๆ ของประเทศ


- อาการภาพจากกล้องวงจรปิด

1. ภาพเป็นคลื่น หรือ สั่นไหว โดยปกติแล้วกล้องวงจรปิดที่มีอาการภาพเป็นคลื่น จะเกิดจากตัว Power Supply หรือ Adapter ที่เป็นจ่ายไฟไปเลี้ยงกล้องวงจรปิดมีปัญหา ทำให้ไฟที่ไปเลี้ยง กล้องวงจรปิดที่ปกติควรจะได้กำลังไฟเต็มที่ก็ลดน้อยลงไป เพราะสาเหตุจากการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ ภายในตัว Power Supply หรือ Adapter
2. เป็นภาพลางๆ สีดำ กรณีนี้ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาทางด้านจุดเชื่อมต่อต่างๆ ของระบบ กล้องวงจรปิดอาจจะเกิดอาการหลวมหรือไม่แน่น เช่น หัวแลนที่เสียบกับบาลัน (ควรตรวจเช็คทั้งสองด้าน คือ ด้านตำแหน่งที่ติดกล้องวงจรปิดและจุดที่วางเครื่องบันทึกภาพ) หัว BNC ที่ต่อกับเครื่องบันทึกภาพ หรือหัว BNC ที่ต่อกับกล้องวงจรปิด


3. ภาพชัดตอนกลางวันแต่กลางคืนไม่มีภาพ หรือ ภาพเป็นคลื่นและสั่นไหวเฉพาะตอนกลางคืน ในกรณีที่เป็นกล้องอินฟาเรดปัญหานี้เกิดจากสาเหตุเดียวกันเหมือนกับข้อที่ 1 เพราะช่วงกลางคืน กล้องวงจรปิดที่มีอินฟาเรดจะใช้กำลังไฟมากกว่าในช่วงกลางวัน สาเหตุเพราะต้องมีกำลังไฟเลี้ยงเพิ่มขึ้น มาเพื่อจ่ายให้กับหลอดอินฟาเรดเพื่อให้กล้องวงจรปิดสามารถเห็นภาพในที่มืดได้โดยใช้แสงของอินฟาเรด ดังนั้นเมื่อ Adapter หรือ Power Supply มีปัญหาทำให้กำลังไฟที่จ่ายไปให้กล้องวงจรปิดที่ควรจะได้ กลับน้อยลงกว่าปกติ จึงทำให้กล้องวงจรปิดเองไม่สามารถที่จะส่งสัญญาณได้เต็มที่ตามปกติ อีกกรณีเป็น กล้องวงจรปิดที่ไม่มีอินฟาเรด สำหรับกรณีนี้ปัญหาอาจจะเกิดจากมีแสงสว่างไม่พียงพอที่จะทำให้ระบบ การรับภาพของกล้องวงจรปิดทำงานได้ เพราะกล้องวงจรปิดที่ไม่มีอินฟาเรดแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติระบุว่า สามารถมองเห็นในที่มืดได้ในระดับใดโดยมีหน่วยเป็น Lux ยิ่งค่าน้อยก็สามารถมองในที่มืดได้มากขึ้น
4. ภาพดับหรือไม่มีภาพเลย เป็นบางกล้อง ทุกช่วงเวลา ปัญหานี้สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ อยากให้ลองตรวจสอบจุดต่อเชื่อมต่าง ๆ ดูก่อนตามข้อ 2 ว่าหลวมหรือหลุดหรือไม่ และตรวจสอบอุปกรณ์ ที่ใช้ต่อกล้องวงจรปิด โดยการสลับอุปกรณ์กับกล้องวงจรปิดที่เป็นปกติเพื่อหาว่าอะไรคือสาเหตุของปัญหา ตามขั้นตอนดังนี้
ย้ายช่องที่ใช้ต่อกล้องวงจรปิดด้านหลังเครื่องบันทึกภาพโดยย้ายพร้อมกับ Balun ชุดเดิม ถ้าสลับ ช่องแล้วภาพติดปัญหาอาจจะเกิดจากเครื่องบันทึกภาพเสียไปบางช่อง และลองย้ายช่องที่ภาพติดปกติ มาเสียบกับช่องที่ภาพไม่ติดด้วยอีกครั้งเพื่อตรวจสอบว่าเครื่องบันทึกภาพเป็นสาเหตุของปัญหาหรือเปล่า โดยย้ายพร้อมกับ Balun ทั้งชุด
สลับสายแลนหลังเครื่องบันทึกภาพ โดยการนำสายแลนของช่องที่มีปัญหาย้ายไปเสียบกับ Balun ตัวอื่นของช่องที่มีภาพปกติว่าภาพติดหรือไม่ ถ้าภาพติดปัญหาอาจจะเกิดจาก Balun หลังเครื่องบันทึก ภาพเสีย
สลับ Balun ด้านที่ติดกล้องวงจรปิด โดยการนำ Balun ของกล้องวงจรปิดที่ภาพติดปกติ ไปลองเปลี่ยนโดยถอด Balun ของกล้องวงจรปิดที่มีปัญหาออกแล้วนำตัวที่เป็นปกติมาใส่แทน ว่าภาพติดหรือไม่
5. ภาพดับหรือไม่มีภาพทุกกล้อง ทุกช่วงเวลา ปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดจาก Power Supply หรือ Adapter กล้องวงจรปิดเสีย คือไม่สามารถจ่ายไฟเลี้ยงได้เลยทำให้กล้องวงจรปิดดับทุกกล้อง

6. ภาพเบลอ เกิดจากโฟกัสเคลื่อน เลนส์ไม่ได้ล็อค หรือไม่แน่น ให้ปรับโฟกัสหน้ากล้องวงจรปิด หาจุดที่ชัดที่สุด แล้วค่อย ๆ หมุนน็อตให้แน่น ถ้าเป็นกล้องอินฟาเรดจะต้องถอดฝากระจกด้านหน้า เพื่อทำการปรับโฟกัสของเลนส์ อีกกรณีสำหรับกล้องอินฟาเรด คือกล้องวงจรปิด IR (อินฟาเรด) กลางวันชัด กลางคืนมัวมองไม่เห็น หรือภาพเป็นฝ้า (ปกติกลางคืนจะเป็นภาพขาว-ดำ)
- กระจกเป็นคราบฝ้าขาว ๆ ให้ถอดเช็ดทำความสะอาดทั้ง 2 ด้าน

- ใช้มือปิดเซ็นเซอร์ไว้แล้วดูว่าหลอดอินฟาเรดทำงานหรือไม่ ถ้าปรกติจะเห็นเป็นไฟสีแดง ๆ

- คำศัพท์ที่ใช้งานสำหรับกล้องวงจรปิด

Automatic Iris Lens
ระบบเลนส์ของกล้อง ที่มีความสามารถในการปรับรูรับแสงอัตโนมัติ เพื่อให้มีระดับแสงตามสภาพแวดล้อม ทำให้ภาพที่ได้มีระดับความสว่างของแสงที่ถูกต้อง เช่น ตอนกลางวัน มีแสงสว่างมาก Auto Iris จะปรับรูรับแสงให้แคบลง เพื่อรับแสงน้อย

B.L.C. (Back Light Compensation)
การชดเชยแสงทั้งภาพ เพื่อให้วัตถุที่สนใจในภาพได้รับความสว่างจนสามารถมองเห็นรายละเอียดได้ โดยไม่สนใจวัตถุที่อยู่รอบนอก

BNC
เป็นหัวต่อของสายเคเบิ้ล ที่ใช้ในระบบกล้องวงจรปิด 

CCTV
ย่อมาจาก Close Circuit Television หรือ โทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ดูภาพจากกล้องวงจรปิด คือไว้ดูกันในกลุ่มของตนเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบ Broadcast TV คือโทรทัศน์แบบแพร่ภาพ ที่เปิดให้คนทั่วไป ที่มีเครื่องรับภาพ ได้รับชม 

CCD (Charged Coupled Device)
อุปกรณ์รับภาพที่ไวต่อแสงใช้กับกล้องดิจิตอลจำนวนที่มารวมกันเป็นวงจรขนาดใหญ่ ซึ่งมีจำนวนเป็นร้อยเป็นพันสำหรับไซต์ของภาพ ( พิกเซล ) จะแปลงพลังงานแสงเป็น สัญญาณไฟฟ้า ขนาดจะเป็นตัวค่าตามแนวทแยงและสามารถใช้ 1/4",1/3",1/2" หรือ 2/3" 

CMOS (Complementary Metal Oxide Semiconductor)
A CMOS เป็นชนิดของสารกึ่งตัวนำที่นิยมใช้ทั้งวงลบและบวก โดยเริ่มจากหนึ่งชนิดที่อยู่ในวงจรอยู่แล้ว ชิป CMOS นั้นจะใช้พลังงานน้อยกว่าชิปที่ใช้ ทรานซิสเตอร์ เซ็นเซอร์รับภาพ CMOS จะช่วยในการประมวลผลวงจรที่รวมกันบนชิปเพียงชิปเดียวซึ่งเทียบไม่ได้กับเซ็นเซอร์ CCD ที่มีการต้นทุนการผลิตสูง 

C Mount
เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับติดตั้งเลนส์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว32เกลียวต่อนิ้ว ซึ่งจะมีความระยะห่างจากตัวรับภาพถึงท้ายเลนส์ 0.69 นิ้ว (17.5 mm.) เลนส์ที่มีข้อต่อแบบ C-mount สามารถใช้กับกล้องที่มีข้อต่อแบบ CS-mountได้ โดยต้องใช้แหวนตัวต่อ (Adapter ring มีขนาด 5 mm.) เพื่อช่วยในการติดตั้ง อย่างไรก็ตาม เลนส์แบบ CS-mount จะไม่สามารถใช้กับกล้องที่มีข้อต่อแบบ c-mount ได้ 

CS Mount
คือมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างใหม่ เป็นการติดตั้งเลนส์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว 32เกลียวต่อนิ้ว จะคล้ายกันกับ C-Mount ความแตกต่างก็คือ CS-mount จะมีระยะห่างจากตัวรับภาพถึงท้ายเลนส์เพียง 0.492 นิ้ว หรือ 12.5 mm. (แต่ C-mount จะห่าง 0.69 นิ้วหรือ 17.5 mm.) เลนส์ที่มีข้อต่อแบบ CS-mount จะไม่สามารถใช้กับกล้องที่มีข้อต่อแบบ C-mountได้ 

Coaxial Cable
ประเภทของสายเคเบิลหุ้มฉนวนที่มีความสามารถในการการรับส่งสัญญาณวิดีโออนาล็อกในระบบกล้องวงจรปิดโดยมีการสูญเสียสัญญาณที่ต่ำมาก 

Compression
การบีบอัดข้อมูล 

Day & Night
คือ ระบบกล้องที่ให้ภาพได้ทั้งในเวลากลางวัน และ กลางคืน 

DIS
ย่อมาจาก (Digital Image Systems) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจจับภาพและถ่ายโอนข้อมูลเป็นระบบ Digital ได้ทันทีนั้นทำให้ข้อมูลในส่วนของภาพมีความชัดเจนในเรื่องของความละเอียด และ แสงของภาพที่สมดุลย์ 

DVR
ย่อมาจาก Digital Video Recorder คือ เครื่องบันทึกภาพแบบดิจิตอล ใช้อัดภาพจากกล้องจรปิด โดยใช้ฮาร์ดดิสก์ (ระบบเดิมจะเป็น Analog Video Recorder - คือจะใช้การบันทึกด้วยเทป) 

Effio
ย่อมาจากคำว่า Enhanced Features and Fine Image Processor ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการประมวลผลสัญญาณภาพล่าสุด จากทางโซนี่ ซึ่งทำให้ภาพที่ได้นั้นมีความละเอียดสูงขึ้น ความคมชัดของภาพเพิ่มขึ้น และการแสดงผล สีต่างๆ ได้สมดุล มากยิ่งขึ้น

Frame rate
ความเร็วในการ แสดงภาพในหนึ่งวินาที มีหน่วยเป็น FPS - Frames per second หรือ เฟรมเรตต่อวินาที ถ้าคุณสมบัติในการบันทึกเป็น 25 FPS ต่อ 1 กล้อง แสดงว่าภาพที่ได้จะเป็นภาพต่อเนื่อง เวลาที่เราดูย้อนหลัง 

H.264
คือ ระบบบีบอัดล่าสุดโดยเขาจะเอาภาพที่บันทึกได้ มาแบ่งออกเป็น 64 ช่อง ทำให้ง่ายต่อการส่งขึ้นเน็ท และเก็บลงในฮาร์ดดิสได้เยอะขึ้น นี่เป็นสาเหตุที่เราดูกล้องผ่านมือถือได้ง่ายขึ้น 

Horizontal Resolution
ความละเอียดของกล้องตามแนวนอนมีหน่วยวัด เป็น TV Line (เส้น) มีหลายแบบให้เลือก มีความละเอียดตั้งแต่ 320 , 380 , 420 , 480 , 520 , 540 , 580 , 620 TV Line หรือมากกว่าแล้วแต่เทคโนโลยีของแต่ละบริษัทหรือโรงงานผู้ผลิต 

Image Sensor
เป็นอุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ที่ติดกับตัวกล้อง ผลิตมาจากซิลิคอน โดยมีหน้าที่เปลี่ยนแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า มีขนาดตั้งแต่ 1/4, 1/3, 1/2 และ 1 นิ้ว 

IP CAMERA
กล้องวงจรปิดชนิดหนึ่งที่มีอุปกรณ์แปลงสัญญาณ Video ไปเป็นสัญญาณดิจิตอล ดังนั้น ตัวกล้องต้องเชื่อมต่อกับระบบ Network โดยแต่ละกล้องจะมี IP Address เฉพาะตัว 

I.R. (Infra Red)
รังสีอินฟราเรดเป็นรังสีที่มีความยาวของคลื่นมากกว่าแสงที่มองเห็นซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาของมนุษย์ รังสีอินฟราเรดสามารถตรวจจับความร้อนได้และสามารถจะแสดงบนหน้าจอหรือบันทึกภาพโดยกล้องดิจิตอล ซึ่งวัตถุที่ร้อนจะแสดงขึ้นด้วยแสง กับสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น(เช่น ร่างกายของมนุษย์กับฉากหลังที่หนาวเย็น) กล้องสีสามารถจะเห็นรังสีอินฟราเรด เหมือนกับเห็นแสง กล้องเป็นอุปกรณ์ที่มี ตัวกรอง IR-CUT เพื่อป้องกันการผิดเพี้ยนของสีที่มนุษย์มองเห็นได้ด้วยตาซึ่งจะใช้กล้องสถานที่ที่มืดหรือตอนกลางคืนตัวกรองจะสามารถลบเพื่อให้รังสีอินฟราเรดกระทบไปที่ภาพด้วยเซ็นเซอร์รับภาพและสร้างภาพขึ้นมา หลอดอินฟราเรดสามารถใช้ปรับปรุงความสว่างในตอนกลางคืนเพื่อเฝ้าระวังขณะที่ไม่สามารถจะสร้างแสงเพิ่มได้

Iris
ค่ารูรับแสงของกล้องวงจรปิด แบ่งออกได้เป็น 3 แบบคือ 1.Fixed-iris ลักษณะการทำงานจะเป็นการคงที่ของค่ารูรับแสง 2.Manual-iris ลักษณะ การทำงานสามารถปรับระยะของค่ารูรับแสงได้ 3.Auto-iris ลักษณะ การทำงานจะเป็นการปรับรูรับแสงเองอัตโนมัติ

JPEG
รูปแบบภาพดิจิตอลที่ใช้กันทั่วไปในการบันทึกแบบดิจิตอลเพื่อเก็บสีที่มีคุณภาพสูงและระดับสีเทาในรูปแบบภาพ bitmap ที่ถูกบีบอัด 

Lux
หมายถึง ค่าของแสงสว่างที่จะทำให้ตัวกล้องสามารถทำงานได้และสามารถมองเห็นภาพได้ มีค่าเรียกเป็น Lux ถ้ามีค่า Lux ยิ่งน้อยมากเท่าไหร่ยิ่งถือว่ากล้องตัวนั้นสามารถมองเห็นในที่มีแสงน้อยๆได้ ดี

Motion Detect
เป็นระบบการบันทึกภาพแบบตรวจจับความเคลื่อนไหว กล่าวคือ Motion Detect ของระบบกล้องวงจรปิด ทำงานโดยอาศัยความแตกต่างของภาพสองภาพโดยอาศัยการเปรียบเทียบ pixel เดิมกับจำนวนที่เปลี่ยนไป (ที่ตำแหน่งเดียวกัน)

MPEG MPEG
เป็นวิธีการบีบอัดวิดีโอที่นิยมใช้ในการบันทึกแบบดิจิตอล MPEG
- 1 เป็นมาตรฐานสำหรับวิดีโอ CD - ROM และเสียง MPEG
- 2 ที่เป็นมาตรฐานสำหรับหน้าจอที่เต็มรูปแบบการออกอากาศที่มีคุณภาพ video.MPEG - 4 เป็นมาตรฐานสำหรับโทรศัพท์วิดีโอ

PTZ
ย่อมาจาก Pan Tilt Zoom มีความหมายตรงตัวดังนี้ Pan = ส่าย ซ้าย ขวา Tilt = ก้ม เงย Zoom = การซูมขยายภาพ ให้สามารถมองภาพในระยะไกลได้ชัดขึ้น 

Pixel
เป็นตัวเลขแสดง จำนวนจุดแสดงสีของข้อมูลภาพแบบดิจิตอล โดยมีความสัมพันธ์กับขนาดของหน้าจอแสดงผล จำนวนตัวเลข ของค่า Pixels ทำให้สีของภาพที่แสดงมีความสวยสดและงดงามขึ้นมากน้อยตามค่า Pixels

Sensor
คือ อุปกรณ์ที่แปลงภาพที่เห็นด้วยตาเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ 

TCP / IP
เป็นชุดของรูปแบบที่ใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้น ทางข้ามเครือข่ายไปยังปลาย ทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ 

WDR
ย่อมาจาก Wide Dynamic Range เป็นการที่กล้องถ่ายภาพซ้อนกัน 2 ใบในเวลาเดียวกัน ใบนึงถ่ายภาพในสภาวะปกติ อีกใบนึงถ่ายให้มีความสว่างมากกว่าปกติแล้ว นำภาพที่ได้มาซ้อนกัน ทำให้ภาพทั้งภาพมีรายละเอียด คือส่วนที่มืดก็ดึงภาพให้สว่างขึ้น ส่วนที่สว่างเกินไปก็ดึงรายละเอียดกลับมาทำให้มองเห็นรายละเอียดภาพ

White balance
เป็นการปรับ สมดุลของแสงสีขาวในสภาวะที่มีแสงแตกต่างกัน เช่น วัตถุสีขาวในตอนที่มีแสงแดดส่อง กับตอนที่ไม่มีแสงแดดส่อง ถ้ากล้องมีระบบ Auto White Balance ระบบจะทำการปรับสีให้เป็นสีขาวตามจริง โดยอัตโนมัติ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง : ระบบกล้องวงจรปิด, กล้องวงจรปิด CCTV, เครื่องบันทึกกล้องวงจรปิด (CCTV Recorder), กล้องสีมาตรฐาน (Box Cameras), กล้องโดม (Dome Cameras), กล้องอินฟราเรด (Infrared IR Camera), กล้องสปีดโดม (High Speed Dome), กล้องไอพี (IP Cameras)